วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556


http://www.youtube.com/watch?v=F1ztl46Gd1I&feature=youtu.be

วิธีการดื่มกาแฟ



เอสเพรสโซ่ ทุกชนิดต้องซดผ่านฟันให้มีเสียงดังเล็กน้อยเพื่อให้ได้สัมผัสรสชาติกาแฟ และควรดื่มรวดเดียว ในเวลา 10-20 วินาที

คาปูชิโน่ เวลาดื่มจะไม่ใช้ช้อนคน ยกเว้นอยากได้ความหวานเพิ่มให้ใส่น้ำตาล แล้วใช้ช้อนคนเบาๆ เพื่อไม่ให้ฟองนมและผงซิเนม่อนมารวมกัน เพราะ เวลา ยกดื่มจะได้กลิ่นหอมของซินเนมอนและกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น หลังจากดื่มจะมีฟองนมและผงซินเนม่อนติดอยู่ที่ก้นถ้วยเล็กน้อย


ลาเต้ ใช้ช้อนตักฟองนมที่เหลือ ติดก้นถ้วยกินจนหมดทุกครั้ง

สูตรการชงกาแฟสดประเภทต่าง ๆ


วันนี้มีรายละเอียดวิธีการชงกาแฟสดมาแนะนำกันนะ ก่อนที่ท่านจะทดลองชงกาแฟในสไตล์อิตาเลียนด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ่ ควรจะต้องรู้จัก การทำ เอสเพรสโซ่ เปอร์เฟ็กซ์ ช็อท์ ก่อน เพราะเป็นพื้นฐานในการชง



กาแฟเอสเพรสโซ่
คือการชงกาแฟผ่านเครื่องชงเอสเพรสโซ่จะได้น้ำกาแฟเข้มข้น 1 - 1.5 ออนซ์ ซึ่งเอสเพรสโซ่ที่ดีจะต้องเข้มข้น และมีอัตราการไหลจากเครื่องชงอยู่ในระยะเวลา 18- 23 วินาที ต่อ 1 ช็อต เมื่อได้กาแฟเอสเพรสโซ่แล้วก็นำ ไปเป็นส่วนผสมของกาแฟดังนี้

1. กาแฟอเมริกันโน่
ใช้กาแฟวีพีพี สูตรเอสเพรสโซ่ ซองสีเขียว จำนวน 10 กรัม ชงด้วยเครื่องชงกาแฟ เอสเพรสโซ่ ได้น้ำกาแฟ 1.5 ออนซ์ เติมน้ำร้อนเพิ่มประมาณ 4-5 ออนซ์ จะได้กาแฟร้อนอเมริกันโน่ หอมกรุ่นรสนุ่ม

2. กาแฟลาเต้ร้อน
ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่า ซองสีส้ม จำนวน 10 กรัมชงด้วยเครืองชงเอสเพรสโซ่ ได้น้ำกาแฟปริมาณ 1.5 ออนซ์ หลังจากนั้น นำนมจืด มาทำการสตีมฟองนมให้มีอุณหภูมิประมาณ 60 เซสเซียส นมจะหอมกรุ่นในฟองนุ่ม รินน้ำนมลงแก้วกาแฟร้อนทรงสูง ที่มีความจุ 8-10 ออนซ์ ประมาณ 3 ส่วน 4 ของแก้ว ทิ้งสัก 30-60 วินาที ให้นมร้อนและครีมฟองนมแยกออกจากกัน แล้วเทกาแฟร้อนเอสเพรสโซ่ลงไป กาแฟและนมจะแยกชั้นออกจากกันสวยงาม แต่งด้านบนด้วยฟองนมอีกเล็กน้อยไม่ให้เห็น รอยจากการเทกาแฟ

3. กาแฟคาปูชิโน่
ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่าซองสีส้ม จำนวน 10 กรัมชงด้วยเครืองชงเอสเพรสโซ่เหมือนกับการชงลาเต้และทำการสตีมนมร้อนเช่นเดียวกันแต่ให้ฟองนม ละเอียดและเนียนกว่า หลังจากนั้นเทนมร้อนลงในแก้วกาแฟร้อนที่ใส่กาแฟเอสเพรสโซ่อยู่โดยค่อยๆ รินให้อยู่ตรงกลางถ้วย และมีขอบสี น้ำตาลจากกาแฟอยู่รอบนอก จนได้ครึ่งแก้วแล้วเริ่มตักฟองนมลงแก้วกาแฟอย่าให้ขอบของกาแฟแตก ใส่ฟองนมจนฟองนมนูนขึ้นมา สวยแล้วโรยหน้าด้วย ผงชินเนมอนหรือโก้โก้

4. กาแฟมอคค่า
ใช้กาแฟวีพีพี มอคค่าซองสีส้ม จำนวน 10 กรัม ชงด้วยเครื่องเอสเพรสโซ่ หลังจากนั้นใส่ไซรับโกโก้ ลงไปรวมกับกาแฟร้อน ประมาณ ครึ่งออนซ์ หรือ 2 ชา คนให้เข้ากัน แล้วเทนมร้อน ลงไปจนได้ปริมาณ 3 ส่วน 4 แก้ว แล้วเติมฟองนม

หมายเหตุ กาแฟสด วีพีพี ส่วนใหญ่จะบดแล้วอาจมี ปัญหาในการชงให้พอเหมาะกับเครื่อง ชงกาแฟเอสเพรสโซ่ สามารถใช้ กาแฟอมก๋อยเอสเตรท แทนได้และจะอร่อยกว่าด้วย

วิธีเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ

· 






  ก่อนซื้อควรจะต้องดู วันเดือนปีผลิตและวันหมดอายุ ปกติกาแฟเมื่อเก็บในถุงฟอย ที่วางขายจะมีอายุในช่วง สูงสุด 6-12 เดือน ขึ้นกับชนิดของถุงที่บรรจุ เพราะคุณภาพจะลดลงตามการเวลา โดย กาแฟจะหอมที่สุดเมื่อคั่วได้ 5 วัน และจะค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อย ๆ งั้นเวลาเลือกซื้อ อย่าลืม ดูถุงที่ใหม่ จะได้กาแฟหอมกรุ่นกว่า
·   ควรเลือกถุงขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 200-250 กรัม และควรใช้ให้หมดใน 1 สัปดาห์เมื่อเปิดถุงแล้ว
·   ถุงกาแฟที่ระบุว่า Single Origin พร้อมชื่อเมืองต่างๆ แสดงว่าเป็นอราบิก้าของที่นั้น มีเทคนิคการคั่วที่ดี และเป็นรสชาติพิเศษของที่นั้น เช่น Omkoi Estate
·   หากข้างซองระบุว่า Espresso คือเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วใน ระดับเข้ม หรือDark Roast ส่วนซองที่ระบุว่า Medium Roast คือ เมล็ดกาแฟที่คั่วระดับกลาง ดื่มได้เรื่อยๆเหมาะสำหรับเสริฟในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าผู้ดื่มชอบรสแบบไหน
·   ควรซื้อกาแฟในซองระบายอากาศ Freshness wolves เพราะ ว่าเมล็ดกาแฟ จะคาย อากาศและความชื้นตลอดเวลา หากการระบายอากาศไม่ได้จะเสียคุณภาพเร็วยิ่งขึ้น และมีผลให้กาแฟมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์
เก็บเมล็ดกาแฟให้พ้นแสงแดดการเก็บควรที่จะเก็บในขวดสูญญากาศ อย่าเก็บเม็ดในตู้เย็นเพราะว่าเมื่อออกจากตู้เจออากาศร้อนเมล็ดกาแฟจะชื้น ทำให้ติดกับเครื่องบดและมีกลิ่นจากตู้เย็นมาติดด้วย

การเติบโตของธุรกิจกาแฟ

ธุรกิจร้านกาแฟ

กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นและ รสเป็นเอกลักษณ์ และเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลกจำนวนมากมาช้านาน ถึงแม้ว่า กาแฟจะไม่ได้เป็นเครื่องดื่มที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่กาแฟก็เป็นเครื่องดื่มที่คนไทยรู้จักและบริโภคมาเป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 150 ปีแล้ว โดยในประเทศไทยมีการปลูกกาแฟหลายพันธุ์ มีการพัฒนาวิธีการนำกาแฟมาผลิตเป็นเครื่องดื่มในลักษณะต่างๆ และมีรสนิยมการบริโภคกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น โอเลี้ยง กาแฟเย็น หรือกาแฟโบราณที่ใช้ถุงกาแฟชง ซึ่งแตกต่างไปจากรสนิยมของต่างชาติที่นิยมบริโภคกาแฟกันอย่างแพร่หลาย อย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป เป็นต้น
ปัจจุบันธุรกิจร้านกาแฟเป็นธุรกิจ ที่มีอัตราการขยายตัวสูง ผู้ประกอบการขนาดย่อมมีการปรับปรุงธุรกิจของตนเอง รวมทั้งมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก ถึงแม้กาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่มีจำหน่ายและเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาเป็น เวลานาน แต่ลักษณะความนิยมและพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทย จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากชาวต่างประเทศ
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดผลิตภัณฑ์กาแฟมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์กาแฟในปี 2548 เท่ากับ 21,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณที่เติบโตมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ นับจากปี 2545 และมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 10 โดยแยกเป็นกาแฟผงสำเร็จรูป 9,300 ล้านบาท กาแฟกระป๋อง 7,000 ล้านบาท และร้านกาแฟพรีเมี่ยม 4,700 ล้านบาท ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาเฉพาะร้านกาแฟพรีเมี่ยม จะเห็นได้ว่า ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่ำ 500 ล้านบาทต่อปี เริ่มจาก 3,000 ล้านบาทในปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาทในปี 2546 ขยับเป็น 4,000 ล้านบาทในปี 2547 ที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,700 ล้านบาทภายในปี 2548 เนื่องมาจากปริมาณร้านกาแฟพรีเมี่ยมที่เปิดตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผู้บริโภคหันมาดื่มกาแฟคั่วบดแทนกาแฟผงสำเร็จรูปมากขึ้น
ความนิยมในร้านกาแฟพรีเมี่ยมส่งผลให้มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านช่องทางการจำหน่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการในพื้นที่ร้านค้าสมัยใหม่หรือ Modern Trade ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ดิสเคาน์ทสโตร์ ทำให้เกิดการแย่งพื้นที่ทำเลดี ทำให้ต้นทุนในการขยายสาขาแต่ละแห่งเพิ่มสูงขึ้น ทางผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์โดยการเน้นความหลากหลายและสร้างความแตกต่าง โดยขยายสาขาเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยทำเลนอกร้านค้าสมัยใหม่ที่น่าสนใจ คือ ปั๊มน้ำมัน โรงภาพยนตร์ รถไฟฟ้า ศูนย์แสดงสินค้า ร้านหนังสือ โรงพยาบาล สถานออกกำลังกาย สถานีรถไฟฟ้า และท่าอากาศยาน
อย่างไรก็ตาม ร้านกาแฟในปั้มน้ำมันนั้น ถือเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตและรายได้ที่น่าสนใจมากธุรกิจหนึ่ง เพราะตลาดรวมยังขยายตัวได้อีกมาก ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในแต่ละวันไม่สูงนัก เนื่องจากวัตถุดิบส่วนใหญ่จะใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก โดยร้านกาแฟในปั๊มน้ำมันจะมีรายได้อยู่ประมาณวันละ 3,000-6,000 บาท หรือมีกำไรประมาณวันละ 1,000 บาท ร้านกาแฟในปั๊มน้ำมันถือเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่น่าสนใจและน่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันตลาดร้านกาแฟอยู่ในช่วงขยายตัว และมีฐานลูกค้ารองรับอีกมาก ขณะที่จำนวนร้านกาแฟในปั๊มน้ำมัน ถึงแม้ปัจจุบันมีอยู่หลายร้อยร้าน แต่ก็ยังไม่ถือว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงมากนัก
การที่ ธุรกิจร้านกาแฟ จากต่างชาติยังทยอยกันเข้ามาลงทุนเปิดกิจการในเมืองไทย แสดงว่า ตลาดของธุรกิจกาแฟนี้ยังมีอนาคต และได้รับการประเมินว่ายังขยายตัวต่อไปได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยจากการรุกรานของธุรกิจข้ามชาติที่กดดันให้ร้านกาแฟของ นักลงทุนไทยต้องปรับตัว ทั้งรสชาติและบริการ เพื่อเผชิญการบุกตลาดของเครือข่ายร้านกาแฟชื่อดังจากต่างประเทศ
นอกจากการปรับตัวเพื่อรับการแข่งขันของบรรดาร้านกาแฟพรีเมี่ยมที่เป็นเครือข่าย สาขาจากต่างประเทศแล้ว บรรดาร้านกาแฟพรีเมี่ยมของไทยยังหันไปขยายสาขาในต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีร้านกาแฟพรีเมี่ยมไทยใน 3 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
ธุรกิจร้านกาแฟพรีเมี่ยมยังคงเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน เนื่องจากการที่โอกาสทางธุรกิจยังเปิดกว้าง จากการที่ปริมาณการบริโภคกาแฟของคนไทยยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และส่วนใหญ่ยังนิยมบริโภคกาแฟสำเร็จรูป ซึ่งธุรกิจร้านกาแฟ พรีเมี่ยมนี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคกาแฟของคนไทย นอกจากนี้ ปัจจุบันธุรกิจร้านกาแฟพรีเมี่ยมกำลังกลายเป็นร้านที่อยู่ในกระแสความนิยม โดยมีผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 10 ยี่ห้อ ที่ประกาศขยายธุรกิจด้านนี้อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2543 ทั้งในการขยายร้านกาแฟพรีเมี่ยมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรายย่อยก็ต้องเข้ามาในธุรกิจนี้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากมีความเสียงสูงกว่านักลงทุนรายใหญ่ที่มีทั้งกำลังเงินและความรู้ ด้านเทคโนโลยี รวมทั้งเทคนิคการพลิกแพลงตลาด เพื่อขยายฐานการบริโภค ทำให้มีโอกาสในการประสบความสำเร็จในธุรกิจมากกว่า
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้วิเคราะห์ว่า ผลิตภัณฑ์กาแฟทุกประเภทยังเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ และสามารถเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากอัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยในปัจจุบันยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ คือ บริโภคน้อยกว่าร้อยละ 0.5 กิโลกรัม/คน/ปี หรือคิดเป็นเพียง 130-150 ถ้วย/คน/ปี เท่านั้น (หรือเฉลี่ยไม่ถึงหนึ่งแก้ว/คน/วัน) เพราะปริมาณคนไทยที่บริโภคกาแฟเป็นประจำมีเพียงร้อยละ 30 (หรือไม่ถึง 2 ล้านคน) จากประชากรคนไทยทั้งหมดกว่า 60 ล้านคน ซึ่งยังมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชียอย่างเช่น ญี่ปุ่น ดื่มกาแฟเฉลี่ย 500 แก้ว/คน/ปี หรืออเมริกาที่ดื่มกาแฟเฉลี่ย 700 แก้ว/คน/ปี (หรือเฉลี่ย 2 แก้ว/คน/วัน) ดังนั้น ธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก แต่คาดหมายว่าการแข่งขันในตลาดผลิตภัณฑ์กาแฟต่างๆ จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ผู้ประกอบการในธุรกิจกาแฟนี้ จะต้องปรับกลยุทธ์ทั้งรุกและรับ ให้ทันกับสถานการณ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะร้านกาแฟพรีเมี่ยม ถ้าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาแฟ คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดจะทะลุระดับ 7,000 ล้านบาท ภายในเวลาไม่เกิน 5 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน

ประโยชน์ของกาแฟ กับ โรคต่าง ๆ





ประโยชน์ของกาแฟ กับ โรคเบาหวาน

ผลวิจัยเรื่องนี้เป็นผลงานของทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการทางการแพทย์ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีรายละเอียดเกี่ยวกับ โรคเบาหวานว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟ (ชนิดที่มีคาแฟอิน) วันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าผู้ไม่ดื่มถึง 53 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้วิจัยเชื่อว่า ในกาแฟมีสารต้านทานอนุมูลอิสระ โดยกาแฟมีสารต่อต้านอนมุลอิสระ ชนิดเดียวกับที่มีใน องุ่น และมีมากกว่าบลูเบอร์รี่อีก และคาดว่า ในกาแฟนั้นมีสาร มีสารแมกนีเซียมช่วยให้เซลล์ร่างกาย อ่อนไหวต่อสารอินซูลิน ทำให้ร่างการไม่ต้องผลิตสารตัวนี้ออกมามาก นกจากนี้ กาแฟยังมีส่วนลดการเกิด โรคพาร์คิสัน นิ่วในถุงน้ำดี และมะเร็งในตับด้วย
นอกจากนี้ผู้วิจัย ยังพูดถึง การดื่มกาแฟ วันละ 2-3 แก้วนั้น ไม่ป้นอันตราย แต่กลับเป้นประโยชน์ แต่ก็ไม่แนะนำให้ดื่มเพือป้องกันโรค เพราะหากดื่มมากไปอาจเกิดภาวะไม่สบายหรือเป้นอันตรายจากการนอนไม่หลับหรือ ปวกศรีษะได้ รวมถึงคุณแม่ที่คลอดบุตรไม่ควรดื่มกาแฟมากเพราะกาแฟอินจะผสมอยุ่ในนมมารดา เดียวเด็กจะติดนมแม่
หมายเหตุ การดื่มกาแฟนั้นจะมีผมต่อระบบประสาท ทำให้ร่างกายขับน้ำออกมาสังเกตได้บางท่านหลังจากดื่มกาแฟจะมีอาการอยากเข้า ห้องน้ำทั้งหนักและเบา ซึ่งเมื่อร่างกายขับน้ำออกมา เซลล์ร่างกายจะเกิดการเหี่ยว ทางแก้คือดื่มน้ำตาม คุณก็จะสดใสเหมือนเดิม และสดชืนด้วย

ประโยชน์ของกาแฟ ต่อ โรคไมเกรน

กาแฟ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตัวระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะในการรักษาไมเกรน และยังสามารถกำจัดโรคหืดในผู้ป่วยบางคนได้ด้วย คุณประโยชน์บางอย่างอาจส่งผลต่อเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น เช่น มีการพิสูจน์ว่าช่วยลดการฆ่าตัวตายในผู้หญิง และช่วยป้องกันนิ่วและโรคถุง น้ำดีในผู้ชาย นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานในทั้งสองเพศ และลดเพียงประมาณ 30% ในผู้หญิง แต่ลดมากกว่า 50% ใน ผู้ชาย และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับ แข็งและป้องกันมะเร็งในปลายลำไส้ใหญ่และกระเพาะ ปัสสาวะ กาแฟสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ในเซลล์ตับ และสุดท้ายกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรค หัวใจ ถึงแม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เป็นเพราะมันกำจัดไขมันในเส้นเลือด หรือเพราะว่ามันเป็นมีผลกระตุ้นกันแน่ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟ เช่น มันช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น (short term recall) และเพิ่มไอคิว นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนระบบเมตาบอลิซึมให้มีสัดส่วนของลิพิดต่อคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเผาผลาญสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการล้ากล้ามเนื้อของนักกีฬาประโยชน์เหล่านี้บางอย่างจะได้ผล เมื่อดื่มเพียงประมาณ 4 ถ้วยต่อวัน (24 ออนซ์) แต่บางอย่างก็ต้องดื่มถึง 6 ถ้วย หรือมากกว่านั้น (32 ออนซ์หรือมากกว่า)

โทษที่ต้องระวัง

·   กาแฟต้มหรือที่ชงแบบให้น้ำเดือดซึมผ่านผงกาแฟ หรือกาแฟที่ใช้ถุงผ้าชงนั่นเองจะเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
·   กาแฟต้มอาจทำให้ระดับคอลเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น
·   อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบไมเกรน

·   ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟจัดอาจมีอัตราเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ

ประเภทของกาแฟ

·  



เอสเพรสโซ คือ กาแฟที่ถูกเตรียม ด้วยเครื่องเอสเปรสโซ แมชีน และใช้กาแฟคั่วระดับที่ เข้ม บดละเอียดให้รสชาติเข้มข้น นิยมใช้กาแฟอราบิก้า จะเสริฟในถ้วยขนาดเล็กไม่เกิน 1.5 ออนซ์ ซึ่งกาแฟเอสเปรสโซ่จะเป็นตัวเบสพื้นฐาน ในการชงกาแฟอื่น ๆ
·   กาแฟอเมริกันโน่ คือ กาแฟ เอสเพรสโซ + น้ำร้อน
·   กาแฟลาเต้ คือ กาแฟเอสเพรสเข้มข้นประมาณ 1.5 ออนซ์ + นมร้อน ประมาณ 6 ออนซ์และแต่งด้วยฟองนมเล็กน้อย ด้านบน รสชาติจะหอมละมุ่นด้วยกลิ่นนมและกาแฟ
·   กาแฟคาปุชิโน่ คือ กาแฟเอสเพรสโซ + นมร้อน 1 ส่วน และฟองนม 1 ส่วน และนิยมโรยหน้าด้วยผงซิเนม่อนหรือผงช็อคโกแลต
·   กาแฟมอคค่า คือ เอสเพรสโซ่ น้ำเชื่อมช็อคโกแลต นมร้อน และปิดหน้าด้วย วิปปิ้งครีม แต่งหน้าด้วยผงช็อคโกแลต

·   กาแฟเฟรนเพรส คือ การชงกาแฟด้วยแก้ว French Press เวลา ดื่มจะต้องกดก้านกรองของแก้วลงก้านตะแกรงกรองจะแยกชั้นระหว่างน้ำกาแฟและผง กาแฟ ซึ่งวิธีการชงแบบนี้จะพบได้ตามร้านอาหาร โฮมเมท ตามสุขุมวิทหรือสีลม

การเริ่มต้นเปิดร้านกาแฟ


สำหรับชีวิตใครหลายต่อหลายคน คงอยากจะมีธุรกิจเล็กๆ สักอย่าง เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์การมีอาชีพที่มั่นคง และความป็นอยู่ที่ดีขึ้นคือปัยจัยพื้นฐาน ดังนั้นเมื่อพบว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จกับการเป็นลูกจ้าง ก็อยากทำธุรกิจที่ตัวเองมีความสุข เช่นเดียวกัน ร้านกาแฟเป็นหนึ่งในธรกิจยอดฮิตในช่วง เกือบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เพราะได้รับอิทธิพลจากร้านกาแฟดังจากต่างประเทศ ที่เข้ามาทำตลาดเปิดขายในเมืองไทย มีร้านกาแฟเปิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ใครๆ ก็อยากจะมีร้านกาแฟ แต่ก็มีหลายร้านที่ปิดตัวลงไป ถ้าถามว่ามันถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือยัง สำหรับการประเมินสถานการณ์คิดว่า ตลาดยังไม่อิ่มตัว แต่เนื่องจากมีผู้แข่งขันในตลาดจำนวนมาก คนที่จะอยู่ได้ในธุรกิจนี้ จะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี มีการทำการบ้านและการพัฒนาตัวเองมากพอควร หากมองว่า มีร้านกาแฟเกิดขึ้นเยอะแยะ แล้ะจะอยู่รอดเหรอ หากเปรียบเทียบก็เหมือนร้านข้าวมันไก่ ร้านก๋วยเตียวแหละที่มีอยู่ทั่วไป ร้านไหนทำได้รสชาติดี อร่อยก็อยู่ได้ แต่ถามว่า ถ้าให้เลือกทำธุรกิจอะไรสักอย่าง หากจะเลือกร้านกาแฟ ก็ไม่ผิดในตอนนี้ ถ้าคุณคิดว่าคุณมีความสุขกับการได้ดื่มกาแฟ และมีความสุขกับงานบริการ สำหรับก่อนการเปิดร้านสิ่งแรกที่ควรจะทำคือ

1. สำรวจความพร้อมของตนเอง

พร้อมหรือยังกับทุ่มเทให้ร้านของคุณ มีเงินออมมากพอไหม และที่สำคัญมีเวลาให้กับธุรกิจกาแฟที่คุณรักหรือยัง

2. หาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจกาแฟและร้านกาแฟ

การหาข้อมูลนั้นอาจจะหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เนท โดยอาจจะหาผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ หรือโดยการหาหนังสือเกี่ยวกับวิธีการชงกาแฟแบบต่างๆ การทำร้านกาแฟ สุดท้ายก็ลงเรียน ชงกาแฟ สัก 2-3 ที่ ก่อนไปเรียนก็ พยายามสร้างคำถามไว้ในใจว่าจะไปถามอะไรบ้างตอนเรียนนะ เพราะเหมือนกับเรามีความรู้อยู่ระดับหนึ่ง แล้วไปทบทวนเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้จริง ที่สำคัญอย่าอายครูและเพื่อนร่วมชั้นจะ จะไม่รู้วิชา ก็เหมือนกับ อายภรรยา ก็ไม่มีบุตรละ

3. การมองหาทำเลทองสำหรับเปิดร้านกาแฟ

ปัยจัยที่สำคัญในการทำให้ธุรกิจกาแฟให้อยู่รอดหรือไม่คือทำเลที่เปิดร้านหลาย ต่อหลายคนใช้เวลาหาเป็นปี เพื่อให้ได้ดีที่สุด อย่าด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆนะ โดยประเภทของทำเลประกอบด้วย
1.ปั๊มน้ำมัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ปั๊มน้ำมันเป็นสถานที่แรกที่คนอยากเปิดร้านกาแฟ อาจจะมาจากประสบการณ์ตนเองเป็นผู้ใช้บริการ และเห็นว่าเป็นธุรกิจควบคู่ปั้มน้ำมันไปแล้ว บางปั้มเปิดแล้วอยุ่ไม่รอดก็มีนะ ปั้มที่จะอยู่รอดต้องเป็นจุดที่คนส่วนใหญ่แวะ เช่น ปั้มที่อยู่ระหว่างเส้นทางออกสู่ต่างจังหวัด เหมือนกับว่าพอขับรถมาได้ระยะหนึ่งอยากพักหรือแวะเข้าห้องน้ำก็แวะทานกาแฟด้วย เป็นต้น หรือก็ต้องเป็นปั้มที่ใหญ่สะอาดพอสมควร เช่น ปั๊มน้ำมันแถววิภาวดี เป็นต้นแต่อย่าลืมว่าปั๊ม ใหญ่ๆ ทำเลดีก็เป็นของกาแฟปั๊มรายใหญ่หมดแล้ว ที่เหลือก็เป็นปั้มที่ไม่ค่อยมีใครเอานะ เพราะทำเลไม่ดีนะ
2.ออฟฟิศ สำนักงานกลางเมืองหลวง ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่แย่งและแข่งกันกันพอดู บางตึกกลางเมือง มีร้านกาแฟ 2-3 ร้าน ก็ต้องสู้กันยิบตา
3.ร้านกาแฟบริเวณช็อปปิ้งมอลล์ เช่น ย่านอารีย์ สุขุมวิท ทองหล่อ เป็นต้น สถานที่ดังกล่าวอาจจะดี แต่ก็มีปัญหาคือค่าเช่าที่แพงพอควร
4.ห้างสรรพสินค้าหรือโมเดิร์นเทรด (พื้นที่เช่าอาจสูงมากส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะแค่เคาน์เตอร์ตามศูนย์อาหาร เหมาะสำหรับการซื้อกลับไม่มีจุดนั้งทาน)
ส่วนประเด็นสำคัญคือ ทำเลนั้นต้องมีผู้คนผ่านพอควร และค่าเช่าที่ไม่สูงมากเกินไป

4. การเลือกซื้ออุปกรณ์กาแฟ

หลายต่อหลายคนหมดค่าใช้จ่ายไปกับการซื้อเครื่องชงกาแฟหลายแสน เปิดได้สักปีก็ปิดกิจการ ขายเครื่องคืนเหลือไม่กี่บาท หรือขายไม่ได้
การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์กาแฟนั้น เป็นสิ่งถูกต้องที่สุดว่าเครื่องชงราคาแพงจะได้คุณภาพน้ำกาแฟที่ดีด้วย แต่ถ้าซื้อเครื่องขนาดสองแสนกว่าบาทมาชงขาย แก้วละ 20-35บาท ปกติราคานี้หักค่าวัตุดิบ ไม่รวมค่าเช่า ค่าพนักงาน จะมีกำไรประมาณ 10 กว่าบาท เอาไปหารค่าเครื่องเอาว่าเมื่อไหร่จะคืนทุน ถ้าขายดี ก็โชคดีไป ถ้าขายไม่ได้ก็โชคร้าย
วิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟที่ดีที่สุดเลือกให้เหมาะกับขนาดธุรกิจ และกลุ่มลูกค้า เช่นจะขายสัก 30-35 ก็เครื่องชงสัก 5 หมื่นก็พอโอเค ถ้าจะขายสัก 40-50 บาทขึ้นก็ เครืองเป็นแสนเอาเลย เพราะอย่างน้อยคุณคงมีเงินค่าแต่งร้านอีกหลายแสนอยู่ละ

5. การวางแผนธุรกิจกาแฟ

หลายต่อหลายคนทำธุรกิจโดยไม่เห็นความสำคัญกับการวางแผน เพราะคิดว่าแค่ชงกาแฟเป็น ชงอร่อย ทำเลดี ก็น่าจะขายได้แล้วตามการบอกกล่าว ของคนขายกาแฟทั่วไป พอเปิดร้านจริงปัญหาร้อยแปดจะมาในทันที ถ้ามีงานประจำอยู่บอกได้เลยพักร้อนเลย หรืออาจจะต้องเลือกด้วยซ้ำว่าจะเลือกอะไร ถ้าไม่งานอื่นที่ต้องรับผิดชอบก็เฝ้าร้านรอแก้ปัญหาเลย ขนาดเขาวางแผนการทำธุรกิจยังต้องปวดหัวเลยแล้วถ้าคุณไม่วางแผนที่จะทำละ ปัญหาจะมาร้อยเท่าพันเท่าเลย การวางแผนธุรกิจ คืออะไร ผมขอเล่าย่อๆ ก่อนนะ คือวางแผนว่าจะขายใคร จะมียอดขายสักเท่าไหร่ที่ตนเองจะต้องการ เพื่อที่จะพอจ่ายค่าเช่าร้านและเกิดกำไร จะหากาแฟจากที่ไหนจะขายราคาเท่าไหร่ จะลดแลกแจกแถมแบบไหน จะจ้างเด็กในร้านกี่คน ในร้านควรมีอะไรบ้าง จะติดอินเตอร์เนท ให้บริการฟรีหรือเก็บค่าบริการ เรื่องเล่านี้จะถูกเขียนไว้ล่วงหน้าทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ การวางงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดจะหาเงินจากไหนมาหมุนให้ธุรกิจกาแฟอยู่ต่อไปได้

และที่สำคัญที่สุด ในโลกใบนี้มีคนที่อยากทำโน่นทำนี่มากมาย แต่มีคนที่สนใจจะทำหรือลงมือในวันนี้แค่ 40 เปอร์เซ็นต์ เห็นจะได้ เพราะคิดว่าไม่พร้อม อยู่ตลอดเวลา บางคนก็รอให้พร้อมอายุประมาณ 50 หรือ 60 ปีนะ แต่รู้ไหมถ้าทำแล้วผิดพลาดตอนนั้นนะมันลำบากมาก ถ้าในวันนี้คุณมีแรงกาย แรงใจ และแรงบันดาลใจในการเป็นผู้ประกอบการเต็มที่ก็รองสำรวจตัวเองและลงมือเลย ฝันของคุณจะเป็นจริง

กาแฟมีสายพันธุ์หลักๆ 2 พันธุ์ คือ



กาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica) ปลูกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 ฟุต ให้ผลผลิตสม่ำเสมอ รสหอมกลมกล่อม ในเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าพันธุ์โรบัสต้า ประมาณ 1 เท่า ผลผลิตของกาแฟทั่วโลกเป็นกาแฟพันธุ์อราบิก้า 75%
กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) ปลูกในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศแถบร้อนชื้น มีรสชาติเข้มข้น หอมฉุนกว่ากาแฟพันธุ์อราบิก้า มีสัดส่วนของผลผลิตกาแฟทั่วโลก 25%




กาแฟเป็นไม้พุ่มยืนต้น ขนาดปานกลางสูง ประมาณ 3-4 เมตร ใบสีเขียวแตกออกจากข้อเป็นคู่ๆ ดอกออกตามข้อของกิ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมต้นกาแฟในประเทศไทยเริ่มออกดอกในเดือนตุลาคม กุมภาพันธ์ ระยะเวลาตั้งแต่การออกดอกถึงการเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน หลังจากปลูกกาแฟได้ 2-3 ปี กาแฟจะเริ่มออกดอกและติดผล ผลของกาแฟเรียกว่า Coffee Cherry มีลักษณะค่อนข้างกลม ขณะที่ผลยังอ่อนมีสีเขียว และเมื่อผลแก่จัดจะมีสีแดง ในแต่ละข้อของกิ่งกาแฟติดผลประมาณ 10-60 ผล แต่ละผลมีเมล็ดกาแฟอยู่ 2 เมล็ดโดยส่วนแบนของเมล็ดประกบติดกัน เมื่อเก็บผลเชอรี่แล้วจึงเข้า สู่ขั้นตอนการลอกเปลือก เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟ ซึ่งมี 2 กรรมวิธี คือ
1.กรรมวิธีตากแห้ง (Dry Method) เป็นการนำผลเชอรี่มาตากแห้ง ใช้เวลาประมาณ 15 วัน จากนั้นจึงทำการกระเทาะเปลือกออกอีกครั้งหนึ่ง
2.กรรมวิธีแช่น้ำ (Wet Method) คือ การนำผลเชอรี่แช่ในน้ำ เสร็จแล้วนำเข้าเครื่องกระเทาะเปลือก จากนั้นนำมาตากแห้ง หรือเข้าเครื่องอบ วิธีนี้ใช้เวลาน้อยกว่าวิธีตากแห้ง (Dry Method)

การคั่วกาแฟ

การคั่วกาแฟเป็นวิธีและขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการดึงคุณสมบัติต่างของกาแฟ ออกมาไม่ว่าจะเป็นความหอม ความกลมกล่อมของรสชาติเข้ม กลมกล่อม ต่างๆ ออกมา ปกติการคั่วกาแฟจะใช้ความร้อนที่ 180 – 240 องศาเซลเซียส ใช้ระยะเวลาประมาณ 10 -20 นาที อุณหภูมิและระยะเวลาที่ใช้จะมีผลต่อความหอมและรสชาติกาแฟ เป็นอย่างยิ่ง ระดับความเข้มอ่อนของการคั่ว สามารถแบ่งออกเป็นระดับได้มากกว่า 12 ระดับ และกลิ่นหอม แต่จะขออธิบายง่ายๆเป็น 3 กลุ่มเพื่อความเข้าใจในเบื้องต้น
กาแฟคั่วระดับอ่อน (light roast) สีน้ำตาลอ่อน บางกลุ่มประเทศจะเรียกว่า ซิน่าม่อน เพราะมีสีเหลืองน้ำตาลแบบเปลือกต้นอบเชย การคั่วกาแฟแบนี้นั้น จะได้รสชาติควมเป็นกาแฟที่ดี อาจมีรสชาติความเปรี้ยวของกรดผลไม้ ที่มีอยู่ในกาแฟด้วย
กาแฟคั่วระดับปานกลาง (medium roast) จะมีระดับสีความเข้มเพิ่มมากขึ้น ปกติคนอเมริกันจะชอบทานกาแฟระดับนี้โดยชงแบบหม้อต้ม และดื่มกันเป็นแบบแก้วใหญ่ ที่เรียกว่า บักส์ซึ่งในความคิดผมกาแฟระดับนี้ จะชงกาแฟร้อนได้อร่อยหอมกรุ่นมาก
การคั่วระดับเข้ม (dark roast) เมล็ดกาแฟที่คั่วระดับนี้จะมีสีเข้มมาก เมล็ดจะมันวาวเหมือนมีน้ำมันมาเคลือบจนบางคนเข้าใจว่าต้องใส่น้ำมันหรือเนย ด้วยขัยว การคั่วแบบนี้จะให้รสเข้มข้น ซึ่งป็นรสชาติที่ชาวอิตาเลี่ยนดื่มกัน และนำกาแฟชนิดนี้ ไปใช้ชงด้วยเครืองชงแบบมีแรงดันได้กาแฟเข้มข้นที่เรียกว่า เอสเพรสโซ่

การเก็บกาแฟคั่วที่ถูกต้อง

เนื่องจากหากเก็บกาแฟไว้ถูกอากาศ สารประกอบประเภทน้ำมันที่มีภายในเมล็ดจะทำ
ปฎกิริยากับ อากาศทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนและไอน้ำในอากาศจะส่งผลให้คุณภาพด้านกลิ่นลดลง อย่างรวดเร็วดังนั้นเราควรที่จะเก็บกาแฟลงในถุงที่มีวาล์วไล่อากาศหรือวัสดุ ที่เป็นสูญญากาศและไม่ควรถูกแสง ดังนั้นหากท่านเห็นร้านกาแฟที่ควักกาแฟจากโหลแก้วที่โชว์ออกมาชงขอให้รู้ว่า นั่นไม่ใช่วิธีการเก็บกาแฟที่ถูกต้อง